วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

4 ขั้นตอนลดความเครียด รับมือกับภาวะน้ำท่วม

4 ขั้นตอนลดความเครียด รับมือกับภาวะน้ำท่วม


เผยเคล็ดง่ายสี่ขั้นตอนลดความเครียดรับมือกับภาวะน้ำท่วม (กรมควบคุมโรค)

นางจิตติมา ศรศาสตร์ปรีชา นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ กลุ่มพัฒนาวิชาการ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทั้งที่ท่วมมานานหลายเดือนและน้ำลดแล้ว พบว่ามีผู้ประสบภัยที่มีภาวะความเครียดเพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก เพราะผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องเผชิญปัญหาหลายด้านพร้อม ๆ กัน เช่น ความไม่สะดวกในการดำรงชีวิต ความเสียหายของบ้าน รถยนต์ และทรัพย์สินเงินทอง พื้นที่ทำการเกษตร มีภาระหนี้สิน หรือบางคนเกิดการเจ็บป่วย สูญเสียญาติพี่น้อง ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง วิตกกังวล และอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ สำหรับอาการที่พบได้ในผู้ที่มีอาการเครียดคือ ปวดศีรษะ กระวนกระวาย ไม่ค่อยมีสมาธิ หลง ๆ ลืม ๆ บางรายอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย

นางจิตติมา กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นประชาชนผู้ประสบภัยควรได้มีแนวทางฟื้นฟูสุขภาพจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยมีคำแนะนำดังนี้

1) ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจและยอมรับ ว่าภัยพิบัติไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก เราไม่ใช่เป็นผู้เคราะห์ร้ายอยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกจำนวนมาก อาจจะต้องใช้เวลาบ้างในการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น "ท้อแท้ได้ แต่อย่านาน และต้องลุกขึ้นเดินต่อ"

2) จัดลำดับความสำคัญของปัญหา พยายามนั่งพักให้จิตใจสงบนิ่ง แล้วรวบรวมสติมองปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า การอยู่ การกิน การนอน เรื่องการขับถ่าย การป้องกันโรคและสัตว์มีพิษ เป็นต้น

3) พยายามใช้ชีวิตเรียบง่าย ผู้ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมต้องปรับวิธีคิด และปล่อยวางเรื่องทรัพย์สินสิ่งของนอกกาย อนาคตยังมีโอกาสหาใหม่ได้ พยายามใช้ชีวิตเรียบง่ายเพื่อลดความรู้สึกเครียดลงบ้าง บางคนห่วงทรัพย์สินจนไม่ยอมอพยพ ควรมีการชั่งน้ำหนักข้อดีและเสีย "ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ชีวิตเรามีค่าสำหรับคนที่คุณรักและคนที่รักคุณ"

4) เอาใจใส่ ดูแลกันและกัน คนที่แข็งแรงกว่าต้องช่วยคนที่อ่อนแอ ต้องคอยให้กำลังใจกับคนที่รู้สึกหมดแรง ท้อแท้ ได้ระบายความรู้สึกแล้วก็ให้กำลังใจกัน

สำหรับบางคนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราจะต้องผ่านเหตุการณ์ภัยธรรมชาตินี้ไปให้ได้ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งหลัก ตั้งสติให้ได้ แล้วลุกขึ้นเดินต่อ ร่วมมือร่วมใจกัน เป็นกำลังใจให้กัน เพื่อฟันฝ่าวิกฤตไปให้ได้ ดังนั้นขอให้ผู้ประสบภัยทุกคนมีความหวัง ให้เวลาเยียวยาจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอน ในส่วนของการเยียวยาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยนั้นต้องทำควบคู่กันไปทั้งในส่วนของภาครัฐ สังคมรอบข้าง และที่สำคัญคือตัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบเอง

นอกจากเยียวยาจิตใจแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การดูแลสุขภาพร่างกายช่วงน้ำท่วมให้ปลอดภัยจากโรคและภัยสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคน้ำกัดเท้า ไข้หวัด อุจจาระร่วง ตาแดง ไข้เลือดออก ไข้ฉี่หนู ฯลฯ หากประชาชนมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือกรณีฉุกเฉินสามารถโทรติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422 และบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์ 1669

ระวัง!! น้ำท่วมปลิงเกาะ ต้องแกะอย่างถูกวิธี

ระวัง!! น้ำท่วมปลิงเกาะ ต้องแกะอย่างถูกวิธี


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

ในสถานการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ ก็สามารถทำให้เราเจ็บป่วยด้วยโรค ภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำกัดเท้า อุจจาระร่วง ไข้ฉี่หนู ตาแดง ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ฯลฯ และภัยร้ายที่มากับน้ำอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ นั่นก็คือ สัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษทั้งหลาย เช่น จระเข้ งู และที่ดูจะเยอะหน่อยเห็นจะหนีไม่พ้น "ปลิง" นี่แหละ

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปลิง คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ? ...ปลิง เป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำโดยเฉพาะน้ำนิ่ง ๆ ทั้งหนองน้ำ ลำธาร รวมถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง และจะเกาะตามร่างกายคนเพื่อดูดเลือด สำหรับในประเทศไทยมักพบปลิง 2 ชนิด คือ ปลิงเข็ม ตัวยาวขนาดใกล้เคียงกับก้านไม้ขีดไฟ อีกชนิดเป็น ปลิงควาย ตัวยาว 3 นิ้ว ลำตัวกว้าง 1 นิ้ว

ดังนั้น ในสภาวะน้ำท่วมขังนานเป็นสัปดาห์ (หรือบางทีนานเป็นแรมเดือน) ซึ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราทุกคนพึงปฏิบัติก็คือ สังเกตตามเนื้อตัวของตนเองอย่างละเอียดว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่หรือไม่ เพราะหากถูกปลิงเกาะ ตัวของปลิงนั้นเบาจะไม่ทำให้รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่ อีกทั้ง การดูดเลือดของปลิงก็เป็นไปอย่างแผ่วเบาเช่นกัน

นอกจากนี้ระหว่างที่ปลิงเริ่มกัดและดูดเลือดนั้น มันจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาออกมา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งยังมีสารช่วยขยายหลอดเลือดและสารต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อให้ดูดเลือดได้ต่อเนื่อง หากปลิงยังดูดเลือดไม่อิ่มก็ยังจะเกาะอยู่อย่างนั้น โดยมันจะหลุดออกมาเองเมื่ออิ่ม แต่หากถูกรุมเกาะหลายตัวและถูกดูดเลือดมาก ก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดได้ ดังนั้น วันนี้เราก็มีวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ถูกปลิงเกาะ รวมถึงวิธีแกะปลิงออกอย่างถูกวิธีมาแนะนำค่ะ

วิธีป้องกัน

หากมีความจำเป็นต้องลงไปในน้ำที่ท่วมขังและนิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกปลิงเกาะและดูดเลือดนั้น ควรจะสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดรัดกุมและมัดปลายขากางเกง จากนั้นก็ชโลมน้ำมันก๊าดลงบนเสื้อผ้าส่วนที่ต้องโดนน้ำจะช่วยป้องกันสัตว์มีพิษได้


ปลิงควาย


วิธีแกะปลิง

แต่หากว่าเพื่อน ๆ ไม่ได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้า หรือป้องกันตัวเองอย่างมิดชิดแล้วแต่ยังถูกปลิงเกาะได้ วิธีการแกะปลิงออกจากร่างกายอย่างถูกวิธีสามารถทำได้ ดังนี้

- ไม่ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นดึงหรือกระชากตัวปลิงออกจากผิวหนังโดยตรง เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด เลือดหยุดยาก

- ใช้น้ำมะนาว น้ำมะกรูด น้ำเกลือเข้มข้น หรือน้ำแช่ยาฉุนหรือยาเส้นไส้บุหรี่ อย่างใดอย่างหนึ่งราดใส่ตรงที่ปลิงเกาะ นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้บุหรี่ที่ติดไฟหรือธูปติดไฟ จี้ลงไปที่ตัวปลิง ก็ทำให้ปลิงหลุดออกเอง

- เมื่อปลิงหลุดออก ให้หยดยาฆ่าเชื้อที่คอตตอนบัดและเช็ดเป็นวงรูปก้นหอย เริ่มจากส่วนในของแผลวนออกรอบนอกแผล เช็ดวนรอบเดียวเพื่อไม่ให้แผลสกปรก แล้วเปลี่ยนคอตตอนบัดอันใหม่ สัก 2-3 อัน

เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ได้รู้วิธีป้องกัน รวมถึงข้อควรปฏิบัติหากถูกปลิงเกาะกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตาม และแนะนำคนรอบข้าง เพื่อให้ทุกคนรอดพ้นจากสัตว์ร้ายในช่วงหน้าน้ำแบบนี้กันด้วยนะจ๊ะ...

น้ำท่วมกรุงเทพ

น้ำท่วมกรุงเทพ

อัพเดต เตือน น้ำท่วมกรุงเทพ

ข่าวน้ำท่วม : วันที่ 30 ตุลาคม 54

15.21 น. จราจรถ. รามอินทราวิกฤติ รถติดหนักยาวหลายกิโลเมตร จากเหตุน้ำเอ่อท่วมขังเต็มบริเวณ

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 14.20 น. การจราจรบน ถ.รามอินทราตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 1- 5 ติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากมีรถจำนวนมากหลีกเลี่ยงน้ำท่วมออกจากกทม. นอกจากนี้บริเวณดังกล่าว มีน้ำได้เอ่อล้นขึ้นเต็มบริเวณ ซึ่งบางจุดท่วมขึ้นมาถึง 2 ช่องการจราจร ส่วนตามซอยต่างๆ ได้มีน้ำท่วมขัง ตลอดฝั่งขาออก อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่ กทม.ได้ดูแลเก็บกวาดเศษขยะไม่ให้อุดตันและเตรียมตั้งแนวกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย

15.04 น. ชาวตลิ่งชันอ่วม! น้ำทะลักสูงถึงอก อพยพแล้วหลายหลัง

ชาวบ้านบริเวณ ซ.สวนผัก เขตตลิ่งชัน หลายหลังคาเรือน เตรียมตัวอพยพแล้ว หลังจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับหน้าอกผู้ชายแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลง

12.12 น. น้ำเข้าท่วมถ.แจ้งวัฒนะแล้ว ขณะที่ถ.วิภาฯ -รังสิต การจราจรได้ถึงแยกหลักสี่

จากปัญหาประชาชนรื้อคันกั้นน้ำบริเวณวัดนาวง ดอนเมือง ส่งผลให้ในช่วงเช้าวันนี้ (30 ต.ค.) น้ำได้ทะลักเข้ามาในคลองประปา ล้นออกสู่ถนนแจ้งวัฒนะ ทำให้มีน้ำท่วมตั้งแต่บริเวณสี่แยกสะพานข้ามคลองประปาต่อเนื่องถึงด้านหน้าโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดยน้ำไหลที่เข้าท่วมขังสูงประมาณ 40 ซม. ขณะที่ซอยแจ้งวัฒนะ 14 บริเวณหน้าปากซอยกลับมามีน้ำท่วมขังสูง 40 ซม.เช่นกัน ส่วนถ.วิภาวดี-รังสิตฝั่งขาออกใช้เส้นทางได้ถึงแยกหลักสี่เท่านั้น เพราะน้ำที่ท่วมช่วงวัดหลักสี่สูงกว่า 80ซม.แล้ว

10.37 น. พนังกั้นน้ำคลองเตยพัง น้ำทะลักเข้าท่วม
ผู้อำนวยการเขตคลองเตย เปิดเผยว่า พนังกั้นน้ำบริเวณหมู่บ้านเปรมฤทัย แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ได้พังลงแล้ว ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่พยายามนำทรายลงอุด แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากน้ำแรงมาก

10.31 น. สามเสน : คันกั้นน้ำ ซ.สามเสน๒๑ แตกอีก ห่างจากจุดเดิม๑๐๐ม. น้ำสูง๑.๒ม. ยังเพิ่มต่อเนื่องไหลเข้าท่วมพท.ใกล้เคียง ถ.สามเสนใช้ไม่ได้ ทหาร ทบ.กำลังแก้ไข (@armypr_news )

09.27 น. น้ำทะลักท่วม ม.เกษตรฯ ฝั่งถ.พหลโยธิน ด้านลาดพร้าวยังปกติ

มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ที่บริเวณสี่แยกภาสยาด้านหลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ประชาชื่น เริ่มพบเห็นน้ำผุดขึ้นจากท่อระบายน้ำ จนไหลเข้าท่วมพื้นที่บริเวณชินเขต 2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ ทำให้สภาพภายในซอยมีน้ำท่วมขัง และยังคงเพิ่มระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันฝั่งถนนพหลโยธินนั้น น้ำเริ่มท่วมขังบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ด้านถนนรามอินทรา พบว่าระดับน้ำที่ท่วมขังมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 40 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ด้านใน เช่น เขตลาดพร้าว ที่มีการแจ้งเตือนว่าจะถูกน้ำท่วมนั้น ขณะนี้สถานการณ์ยังปกติ คลองลาดพร้าวมีน้ำลด 2ซม.

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สทศ.สั่งเลื่อนสอบ GAT/PAT เป็น 21 ม.ค.55

พิษน้ำท่วมส่งผล สทศ.สั่งเลื่อนสอบ GAT/PAT อีกรอบ ออกไป 1 เดือน ส่วนเข้าแพทย์ก็เลื่อนสอบเช่นกัน ไปเป็นวันที่ 21 ม.ค.ปีหน้า ชี้เพื่อให้เด็กมีเวลาอานหนังสือสอบ ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ศูนย์พักพิงจะหาเครื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้เด็กได้เข้าถึงข่าวสาร...

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ อาคารพญาไท ชั้น 35 นายประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พร้อมด้วย นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และ พญ.บุญมี สถาปัตยวงศ์ ประธานอนุกรรมการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ร่วมกันแถลงข่าวการเลื่อนวันสอบ เนื่องจากหลายจังหวัดประสบภาวะอุทกภัย

นายประสาท กล่าวว่า กรณีน้ำท่วมในหลายจังหวัดที่สถานการณ์ยังยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อการเตรียมตัวเพื่อสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ และการสอบแบบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และแบบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT โดยการสอบดังกล่าวมีนักเรียนสมัครสอบจำนวนมาก ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติเลื่อนวันสอบ ดังนี้ การสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1 เลื่อนสอบจากวันที่ 19-20 พ.ย. และ 26-27 พ.ย. เป็นวันที่ 24-27 ธ.ค.นี้

ประธาน ทปอ. กล่าวต่อว่า ด้านการสอบของ กสพท. เลื่อนจากวันที่ 25 ธ.ค.นี้ เป็นวันที่ 21 ม.ค.2555 ทั้งมีมติขยายวันรับสมัครสอบ การสอบรายวิชาสามัญ 7 วิชา เพื่อใช้ในระบบรับตรงที่จัดสอบโดย สทศ. ซึ่งขยายจากวันที่ 30 ต.ค.นี้ เป็นวันที่ 14 พ.ย.นี้ ชำระเงินถึงวันที่ 15 พ.ย.นี้ และเลื่อนวันรับสมัคร GAT/PAT ครั้งที่ 2 เดิมรับสมัคร 1-28 ธ.ค.นี้เลื่อนเป็นสมัครวันที่ 9 ม.ค.2555-2 ก.พ.2555 ส่วนวันสอบคือวันที่ 3-6 มี.ค.2555 ตามเดิม

“การเลื่อนวันสอบออกไปอีก 1 เดือนนั้น ทปอ.พิจารณาว่า เหตุการณ์น้ำท่วมคงจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งนักเรียนจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ส่วนนักเรียนที่ประสบภัยที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทปอ.จะประสานมหาวิทยาลัยนั้นๆ ให้จัดหาคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักเรียนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารการสอบและการรับสมัครต่างๆ” นายประสาท กล่าว.

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวการเมือง

หมอตุลย์ นำทีม ให้กำลังใจ ผบ.ตร.



น.พ.ตุลย์ นำเสื้อหลากสีให้กำลังใจ ผบ.ตร. หลังถูกโยกย้าย ชี้ ร.ต.อ.เฉลิม ใช้อำนาจเกินเหตุ แนะ ผบ.ตร. ฟ้องศาลปกครอง

น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน นำสมาชิกจำนวน 15 คนเดินทางมาเพื่ออ่านแถลงการณ์คัดค้านการปลด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกจากตำแหน่ง

โดยระบุว่า การกระทำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นการใช้อำนาจแทรกแซงข้าราชการตำรวจประจำ โดยไม่มีเหตุผลอันควร เพราะตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติการโอนย้ายนี้จะต้องเกิดขึ้นจากความสมัครใจ ซึ่งเชื่อว่า พล.ต.อ.วิเชียร ไม่ได้มีความสมัครใจที่จะย้ายออกจากตำแหน่ง

ส่วน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ที่คาดว่าจะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนั้น ผู้ที่รับประโยชน์ทางอ้อม คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะถือเป็นเครือญาติ จึงอยากให้ พล.ต.อ.วิเชียร ฟ้องต่อศาลปกครองว่าถูกนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม ดำเนินการโยกย้ายโดยไม่ได้รับความสมัครใจ

นอกจากนี้ น.พ.ตุลย์ ยังได้ฝากคำถามไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ คนละ 5 ข้อ อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม เคยเล่นการพนันที่บ่อนพม่าและชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ รวมทั้งได้ถามคำถาม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ว่าเมื่อได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แล้ว จะเร่งถอดยศและตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาดำเนินคดีหรือไม่ เป็นต้น

ข่าวพลเมือง

เด็กหญิง 4 ขวบ เจอเงิน 4 หมื่น ส่งคืนเจ้าของ


เด็กหญิง 4 ขวบ พลเมืองดี เก็บกระเป๋าตังค์ได้ในห้องน้ำห้างดังย่านเมืองนนท์ พบเงินสดเกือบครึ่งแสนลอตเตอรี่อีกหลายคู่ น้าสาวพาขึ้นโรงพักแจ้งตำรวจส่งคืนเจ้าของทันควัน สาวใหญ่วัย 52 กระเป๋ารถเมล์เจ้าของเงิน เผยเพิ่งกู้แบงก์มาสดๆ ร้อนๆ ตอนแรกทำใจแล้วว่าชวดแน่ สุดดีใจได้คืนครบทุกบาททุกสตางค์

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 6 ก.ค. ขณะที่ร.ต.ท. ณฐกร นบนอบ ร้อยเวรสภ.เมืองนนทบุรี สาขาย่อยรัตนาธิเบศร์ กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก ได้มีน.ส.กาญจนา ทองสุข อายุ 30 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พักอยู่ในหมู่บ้านเดอะเทอเรสต์ ซ.ติวานนท์ 3 ต.ตลาดขวัญ อุ้มด.ญ.ธนภรณ์ หรือน้องเบนซ์ ปานวัด อายุ 4 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนราชินีบน ย่านสามเสน กทม. ซึ่งเป็นหลานสาว เข้าแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมมอบกระเป๋าสตางค์สีเหลือง ให้เป็นหลักฐานโดยระบุว่า เก็บได้จากห้องน้ำห้างบิ๊กซี สาขาติวานนท์ ให้ช่วยติดตามหาเจ้าของด้วย

ตรวจสอบภายในมีเงินสดเป็นธนบัตรชนิด 1,000, 500 และ 100 บาท รวม 40,500 บาท รวมทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลอีก 8 คู่ เป็นเลขท้าย 498 จำนวน 5 คู่ 360 จำนวน 3 คู่ พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของนางละเมียด บุญเพ็ชร อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23/1 หมู่ 4 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

น.ส.กาญจนา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนและหลานสาวมาเดินเที่ยวห้างบิ๊กซี สาขาติวานนท์ ระหว่างนั้นหลานสาวเกิดปวดท้องจึงบอกให้ตนพาเข้าห้องน้ำของห้างที่ชั้น 2 ฝั่งด้านหลังลิฟต์ จึงเปิดประตูแล้วให้หลานสาวเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ สักครู่ใหญ่หลังเสร็จกิจหลานสาวถือกระเป๋าใบหนึ่งออกมาจากห้องน้ำโดยบอกเจอวางอยู่บนชักโครกภายในห้องน้ำ เมื่อเปิดดูพบว่ามีเงินสดอยู่ภายในจำนวนมากจึงอุ้มหลานสาวมาแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาตัวเจ้าของเงิน เพราะคิดว่าอาจจะเดือดร้อนจากการที่ทำเงินหายในครั้งนี้ก็เป็นได้

หลังสอบปากคำเสร็จแล้ว ร.ต.ท.ณฐกรพยายามติดต่อไปยังที่อยู่ตามที่พบในบัตรประชาชน รวมทั้งขอหมายเลขโทรศัพท์เบอร์ติดต่อจากทางองค์การโทรศัพท์ฯ แต่ไม่พบว่ามีการแจ้งหมายเลขในทะเบียนบ้านดังกล่าวจึงยังไม่สามารถติดต่อได้ ต่อมานางละเมียด เดินทางเข้าพบร.ต.ท.ณฐกร เพื่อติดต่อขอรับเงินจำนวนดังกล่าวคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อน.ส.กาญจนากลับมาที่โรงพัก

นางละเมียด กล่าวว่า เป็นกระเป๋ารถขสมก.สาย 114 วิ่งระหว่างนนทบุรี-ลำลูกกา แต่วันนี้เป็นเวรหยุดไม่ได้ไปทำงาน ช่วงเย็นได้ไปเดินซื้อของที่ห้างแต่เกิดปวดท้องจึงเข้าห้องน้ำพร้อมเพื่อนบ้านที่มาด้วย ระหว่างอยู่ในห้องน้ำหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงวางไว้ที่หลังถังชักโครก พอทำธุระเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำทันที โดยไม่ได้หยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาด้วย จนกระทั่งตนมาคลำหาแต่ไม่พบ ด้วยความตกใจจึงรีบวิ่งมาที่ห้องน้ำแต่ไม่เจอกระเป๋าแล้ว เมื่อตนไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ก็ได้รับคำตอบว่าคงจะไม่ได้คืน เพราะมีคนเข้าห้องน้ำเยอะมาก

"ตอนนั้นหมดหวังที่จะได้เงินคืนแล้ว จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่โรงพัก สภ.เมืองนนทบุรี สาขาท่าน้ำ เพื่อที่จะนำหลักฐานไปขอทำบัตรธนาคารใหม่ ส่วนเงินดังกล่าวกู้มาจากธนาคาร เพื่อที่จะนำไปใช้หนี้ที่หยิบยืมมาปลูกบ้าน และยังนั่งคิดอยู่ว่าจะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ ถึงกับกินข้าวไม่ลง พอมีเพื่อนที่ทำงานอยู่รถโทร.มาบอกว่ามีคนเก็บเงินได้ส่งคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจตนจึงได้รีบเดินทางมาขอรับเงินคืนด้วยความดีใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้เงินคืนแล้ว" นางละเมียด กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังได้รับเงินคืน นางละเมียดพยายามให้เงินเป็นสินน้ำใจแก่น้องเบนซ์ แต่น.ส.กาญจนาซึ่งเป็นน้าไม่ขอรับ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

คุณธรรมจริยธรรม

ความหมายและหลักการของคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม

ความหมายและหลักการของคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม

จรรยาบรรณ และธรรมาภิบาล

โดย ดร. จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ



ปฐมเหตุแห่งการนำเสนอบทความนี้มาจากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ) ที่ กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดให้มีการจัดระบบจูงใจ ให้คนทำดี ได้ดี มีรางวัลตอบแทน เป็นการพิจารณาให้ความดีความชอบของข้าราชการ ประจำปี ที่ทำงานด้านส่งเสริมคุณธรรมศีลธรรมของสถานศึกษา จึงต้องมีข้อตกลงเบื้องต้นว่างานคุณธรรม ศีลธรรมคืออะไร และจะเกี่ยวข้องกับบุคลากร 3 ฝ่าย ได้แก่ กลุ่มผู้บริหารโครงการ กลุ่มจัดการเรียนการสอน และกลุ่มจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร

นอกจากนี้ คำว่า คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ ธรรมาภิบาล และสมรรถนะ มักมีผู้นำไปใช้ในความหมายที่แตกต่าง สับสน และไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริง ดังนั้นการทำความเข้าใจตั้งแต่ รากศัพท์ ความหมายและประโยชน์ในการนำไปใช้ จะช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันได้ดี

เป้าหมายปลายทาง

คุณธรรม (Moral) ศีลธรรม (Moral) จริยธรรม (Ethics)และ จรรยาบรรณ (Code of Conduct)มีเป้าหมายใช้เพื่อการควบคุมตนเอง และส่งผลต่อ พฤติกรรมของบุคคลนั้น ส่วนธรรมาภิบาล (Good Governance) และ ขีดสมรรถนะ (Competency) ใช้เพื่อเป็นกลไกควบคุม โครงสร้าง ระบบ และกระบวนการส่งผลต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานหรือองค์กร

คุณธรรม (Moral / Virtue)

“คุณธรรม” คือ คุณ + ธรรมะ คุณงามความดีที่เป็นธรรมชาติ ก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อตนเองและ

สังคม ซึ่งรวมสรุปว่าคือ สภาพคุณงาม ความดี

คุณธรรม (Virtue) แนวความคิดที่ดีเป็นตัวบังคับให้ประพฤติดี

1. สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ

2. คุณธรรม คือจริยธรรมที่แยกเป็นรายละเอียดแต่ละประเภท หากประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นสภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น



จริยธรรม (Ethics)



“จริยธรรม” = จริย + ธรรมะ คือ ความประพฤติที่เป็นธรรมชาติ เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง

ก่อให้เกิดความ สงบเรียบร้อยในสังคม รวมสรุปว่าคือ ข้อควรประพฤติปฏิบัติ

จริยธรรม(Ethics) ความเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เสียสละหรือประพฤติดีงาม

1. ประมวล กฎหมาย ที่กลุ่มชนหรือสังคมหนึ่งๆ ยอมรับเป็นแนวควบคุมความประพฤติ เพื่อแยกแยะให้เห็นว่าอะไรควรหรือไปกันได้กับการบรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม

2. ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วย ความประพฤติ และการครองชีวิต ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด หรืออะไรควร อะไรไม่ควร

3. กฎเกณฑ์ความประพฤติของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ได้แก่ ความเป็นผู้มีปัญญา และเหตุผลหรือปรีชาญาณทำให้มนุษย์มีมโนธรรมและ รู้จักไตร่ตรองแยกแยะความดี - ความชั่ว, ถูก - ผิด, ควร - ไม่ควร เป็นการควบคุมตัวเอง และเป็นการควบคุม กันเองในกลุ่ม หรือเป็นศีลธรรมเฉพาะกลุ่ม

ศีลธรรม (Moral)



1. ความประพฤติที่ดีที่ชอบ หรือธรรมในระดับศีล หรือกรอบปฎิบัติที่ดี เกี่ยวกับความรู้สึกรับผิดชอบ บริสุทธิ์ เกี่ยวกับจิตใจ

2. หลักความประพฤติที่ดีสำหรับบุคคลพึงปฏิบัติ



“ธรรมาภิบาล” (Good Governance)

ธรรมาภิบาล คือ ธรรมะ + อภิบาล หมายถึง ปกครองด้วยคุณความดี ซื่อตรงต่อกัน มั่นคงในสัญญาที่มีต่อกัน

สัญญา (กฎ กติกา มารยาท) ที่ ร่วมกันทำ เป็นธรรม โปร่งใส รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ

การจัดการปกครอง การบริหารปกครอง การบริหารกิจการบ้านเมือง การควบคุมดูแลกิจการ การกำกับดูแลที่ดี อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ (Process) และระบบ (System) ซึ่งองค์การหรือสังคมได้มีการปฏิบัติหรือดำเนินการ (Operate)
ธรรมาภิบาล มักครอบคลุมประเด็น ดังนี้

- การมีส่วนร่วมของประชาชน(Participation)

- นิติธรรม (Rule of law)

- ความโปร่งใส (Transparency)

- การตอบสนอง (Responsiveness)

- การแสวงหาฉันทามติ (Consensus oriented)

- ความถูกต้อง ความเสมอภาค ยุติธรรม เที่ยงธรรม (Equity)

- ประสิทธิผลและประสิทธิภาพ (Effectiveness & Efficiency)

- ภาระรับผิดชอบ (Accountability

ทศพิธราชธรรม (Virtues of the King)

จริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน

ทศพิธราชธรรมทั้ง 10 ข้อ มีดังนี้

- ทาน คือ การให้ การเสียสละ การให้น้ำใจ

- ศีล คือ ความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา ใจ ให้ปราศจากโทษ

- บริจาค คือ การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม

- ความซื่อตรง คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต

- ความอ่อนโยน คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส

- ความเพียร คือ ความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน

- ความไม่โกรธ คือ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล

- ความไม่เบียดเบียน คือ การไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น

- ความอดทน คือ การรักษาอาการ กาย วาจา ใจให้เรียบร้อย การอดทนต่อสิ่งทั้งปวง

- ความยุติธรรม คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก





จรรยาบรรณ (Codes of Conduct) (Professional Ethics)

จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติหรือประมวลมารยาทของผู้ประกอบอาชีพนั้น ๆต้องเป็นเอกลักษณ์ทางวิชาชีพ ใช้ความรู้ มีองค์กรหรือสมาคมควบคุม

1. ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้

2. หลักความประพฤติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีคุณธรรมและจริยธรรมของบุคคลในแต่ละกลุ่มวิชาชีพ

จรรยาบรรณวิชาชีพ (Code of Ethics )

n จรรยาบรรณเกิดขึ้นเพื่อ *มุ่งให้คนในวิชาชีพมีประสิทธิภาพ* ให้เป็นคนดีในการบริการวิชาชีพ
*ให้คนในวิชาชีพมีเกียรติศักดิ์ศรีที่มีกฎเกณฑ์มาตรฐานจรรยาบรรณ

n จรรยาบรรณ มีความสำคัญและจำเป็นต่อทุกอาชีพ ทุกสถาบัน และหน่วยงาน เพราะเป็นที่ยึดเหนี่ยวควบคุมการประพฤติ ปฏิบัติด้วยความดีงาม

จรรยาบรรณวิชาชีพครู(Code of Ethics of Teaching Profession)

ความหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพครู คือ กฎแห่งความประพฤติสำหรับสมาชิกวิชาชีพครู ซึ่งองค์กรวิชาชีพครูเป็นผู้กำหนด และสมาชิกในวิชาชีพทุกคนต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากมีการละเมิดจะมีการลงโทษ

n ความสำคัญจรรยาบรรณวิชาชีพครูจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีความสำคัญต่อวิชาชีพครูเช่นเดียวกับที่จรรยาบรรณวิชาชีพ มีความสำคัญต่อวิชาชีพอื่น ๆ ซึ่งสรุปได้ ๓ ประการ คือ

n ๑. ปกป้องการปฏิบัติงานของสมาชิกในวิชาชีพ

n ๒. รักษามาตรฐานวิชาชีพ

n ๓. พัฒนาวิชาชีพ

แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539

n ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า

n ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ

n ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ

n ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์

n ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ

n ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ

n ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู

n ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์

n ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย



จรรยาบรรณนักเรียนนักศึกษา 10ประการ

*พึงหาโอกาสเรียนรู้ ให้เข้าใจใช้เหตุผลโดยเร็วที่สุดตามระดับวัย

*พึงรับทุกอย่างด้วยเหตุผล พึงรับพิจารณาความคิดอย่างมีเหตุผลถึงแม้จะยังไม่เห็นด้วย เคารพความคิดผู้อื่นโดยยึดถือการประนีประนอม และหาทางสายกลาง

* การเรียนไม่ใช่เป็นการกอบโกย เอาเปรียบผู้อื่น

* ให้ถือว่าสังคมโรงเรียน/สถาบันการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริง

*สร้างสังคมในโรงเรียน/สถาบันการศึกษา ในอุดมการณ์ปรับปรุงให้ทันสมัยทันเหตุการณ์เสมอ

*สุจริตในการทำการบ้านและในการสอบ

*ถือว่าเกียรติอยู่เหนือผลประโยชน์ใดๆ

* ฝึกน้ำใจนักกีฬาในการแข่งขันทุกประเภท

*ให้เกียรติคอาจารย์รูและเพื่อนเสมอ

* ถือว่าสิทธิจะต้องแลกเปลี่ยนกับหน้าที่และความรับผิดชอบเสมอ



ขีดสมรรถนะ (Competency)

ขีดสมรรถนะ คือ ความรู้และทักษะที่จำเป็นขั้นพื้นฐานของการปฎิบัติงานหนึ่งๆ

ขีดสมรรถนะ ที่มีความจำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่

n เข้าใจบริบทการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

n คิด/วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม (วางแผนผังเชิงยุทธศาสตร์และมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน/วัดผลงานได้)

n สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติอย่างบรรลุผล และบริหารการเปลี่ยนแปลงได้

n ป้องกัน/ควบคุมความเสี่ยง

n มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการทำงาน

n มีจริยธรรมและความซื่อสัตย์

สมรรถนะงานสายงานวิชาชีพครูของไทย

n มาตรฐานวิชาชีพครูตามพ.ร.บ.สภาครู พ.ศ.2547 มี 3ด้าน

n 1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ

n 2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน

n 3. มาตรฐานการปฏิบัติตน

คุณธรรมจริยธรรม

คุณธรรมและจริยธรรม

ปัจจุบันมักจะได้ยินคำกล่าวกันเสมอๆ ถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม ดังนั้น จึงขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรมให้กับสมาชิกทั้งหลายได้รับทราบเพื่อพิจารณา และหากนำไปประพฤติปฏิบัติตามที่น่าจะเกิดประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

คำว่า คุณธรรม ตามความหมายในพจนานุกรม หมายถึง สภาพของคุณงามความดี ส่วนคำว่า จริยธรรม ตามความหมายแยกออกเป็น 2 คำคือ จริย หมายถึง การประพฤติปฏิบัติ และ ธรรม หมายถึง คุณความดี ความจริง ความถูกต้อง,กฎ,กฎเกณฑ์,กฎหมาย หลักคำสอนในศาสนาหากจะสรุปรวมทั้งคุณธรรม และจริยธรรม ตามความเข้าใจของผู้เรียบเรียงคงหมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ทั้งกาย วาจา และใจ ดังนั้นเมื่อมีการกล่าวถึงคำว่าคุณธรรมก็มักจะกล่าวถึงคำว่าจริยธรรมรวมกันไปด้วย

ในเรื่องของคุณธรรม และจริยธรรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ หลักราชการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักคุณธรรม และจริยธรรมในวิชาชีพข้าราชการที่สำคัญยิ่งสำหรับให้ข้าราชการพึงยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติราชการ 10 ประการ มีใจความสำคัญ สรุปได้ดังนี้

1. ความสามารถ หมายถึง ความชำนาญในการปฏิบัติงานในด้านต่างๆให้เป็นผลสำเร็จได้ดียิ่งกว่าผู้มีโอกาสเท่าๆกัน

2. ความเพียร หมายถึง ความกล้าหาญไม่ย่อท้อต่อความลำบาก และบากบั่นเพื่อจะข้ามความขัดข้องให้จงได้โดยใช้ความวิริยภาพมิได้ลดหย่อน

3. ความมีไหวพริบ หมายถึง รู้จักสังเกตเห็นโดยไม่ต้องมีใครเตือนว่า เมื่อมีเหตุเช่นนั้นจะต้องปฏิบัติการอย่างนั้น เพื่อให้บังเกิดผลดีที่สุดแก่กิจการทั่วไปและรีบทำการอันเห็นควรนั้นโดยฉับพลัน

4. ความรู้เท่าถึงการณ์ หมายถึง รู้จักปฏิบัติการอย่างไรจึงจะเหมาะสมแก่เวลา และอย่างไรที่ได้รับเหตุผลสมถึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด

5. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ หมายถึง ตั้งใจกระทำกิจการซึ่งได้รับมอบให้เป็นหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป หมายถึง ให้ประพฤติซื่อตรงต่อคนทั่วไป รักษาตนให้เป็นคนที่เขาทั้งหลายจะเชื่อถือได้

7. ความรู้จักนิสัยคน ข้อนี้เป็นข้อสำคัญสำหรับผู้มีหน้าที่ติดต่อกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย

8. ความรู้จักผ่อนผัน หมายความว่า ต้องเป็นผู้ที่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวว่าเมื่อใดควรตัดขาดและเมื่อใดควรโอนอ่อนหรือผ่อนผันกันได้ มิใช่แต่จะยึดถือหลักเกณฑ์หรือระเบียบอย่างเดียว ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสีย ควรจะยืดหยุ่นได้

9. ความมีหลักฐาน ข้อนี้ประกอบด้วยหลักสำคัญ 3 ประการ คือ มีบ้านอยู่เป็นที่เป็นทางมีครอบครัวอันมั่นคงและตั้งตนไว้ในที่ชอบ

10. ความจงรักภักดี หมายความว่า ยอมเสียสละเพื่อประโยชน์แห่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชทานคุณธรรม 4 ประการ แก่ข้าราชการและประชาชนในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี มีข้อความดังนี้

ประการแรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง รู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อส่วนใหญ่ของบ้านเมืองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม

ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดีนั้น

ประการที่สาม คือ ความอดทน อดกลั้น และอดออม ไม่ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริตไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด

ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

คุณธรรม 4 ประการ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้วจะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดังประสงค์

นอกจากนี้จะขอนำคุณธรรมของคนที่เป็นผู้นำ 8 ประการ มากล่าวไว้ เพื่อให้คนที่เป็นผู้นำและคนที่ต้องการจะเป็นผู้นำ ได้นำไปศึกษาและนำไปประพฤติปฏิบัติตามสมควรแก่ตนต่อไป

ประการที่ 1 ความอดทน หมายถึง การห้ามจิตใจ เมื่อได้พบกับเหตุการณ์อันจะก่อให้เกิดเรื่องหรือแสดงกิริยาไม่ดีออกมา ต้องมีความอดทน ไม่หุนหันพันแล่น เช่น อดทนต่อความยากลำบากในขณะที่ทำการงาน ไม่เห็นแก่ความหนาว ความร้อน เช้าสายบ่ายค่ำ อดทนต่อความเจ็บใจ ในเมื่อคนอื่นทำสิ่งที่ไม่น่าพอใจให้แก่ตน ไม่ด่วนโมโหโกรธา

ประการที่ 2 ความเป็นนักสู้ หมายถึง เป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญ หนักเอาเบาสู้ มุ่งความสำเร็จกิจการงานเป็นที่ตั้ง ไม่หลงคำยอ ไม่ท้อคำติ มุ่งมั่นฝ่าฟันอุปสรรคปัญหาต่างๆ ปฏิบัติงานทุกอย่างให้บรรลุเป้าหมาย

ประการที่ 3 ความเป็นผู้ตื่น หมายถึง เป็นคนตื่นตัว ว่องไวต่อปัญหาตลอดเวลา มีความคิดก้าวหน้า ริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิดยืดหยุ่น รวมทั้งมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถที่จะนำความคิดออกมาใช้ให้ทันต่อสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า

ประการที่ 4 ความขยันหมั่นเพียร หมายถึง มีความวิริยะอุตสาหะ มีความจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เป็นทาสของความเกียจคร้าน มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา

ประการที่ 5 เมตตากรุณา หมายถึง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูล โอบอ้อมอารีในลักษณะสงเคราะห์ อนุเคราะห์ หรือบูชาคุณความดี แล้วแต่เวลา สถานที่และบุคคล มีความรักและความหวังดีเป็นที่ตั้ง

ประการที่ 6 ความยุติธรรม หมายถึง มีความเที่ยงธรรม เสมอภาคในคนทุกประเภท ไม่แบ่งแยกพวกเขาพวกเรา ไม่มีอคติ คือ ความลำเอียง ซึ่งความลำเอียงนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ 4 อย่างคือ ลำเอียงเพราะความรัก ลำเอียงเพราะความโกรธ ลำเอียงเพราะความกลัว และลำเอียงเพราะความหลง การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งก็พิจารณาจากความรู้ ความสามารถและคุณธรรมความดี ผู้นำที่ปฏิบัติได้ดังนี้ ย่อมเป็นที่รักของหมู่ชน ได้คนที่มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรมความดี มาเป็นบริวารอยู่เสมอ

ประการที่ 7 การหมั่นตรวจตรากิจการงาน หมายถึง การสอดส่องดูแลการงานอยู่เสมอ เมื่อพบข้อบกพร่องก็รีบแก้ไข อย่าปล่อยไว้จะลำบากในการแก้ไข และตรวจตราดูลำดับความสำคัญก็ควรทำงานนั้นก่อน งานไหนควรทำเอง งานไหนควรแบ่งมอบหมายให้คนอื่นรับผิดชอบ รวมทั้งต้องรู้จักแบ่งงานให้ถูกกับคนด้วย คนที่มีความรู้ ถนัดสามารถในเรื่องไหน ก็มอบหมายเรื่องนั้นให้ทำ

ประการที่ 8 ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง มีความซื่อตรง มั่นคงอยู่ในศีลธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น มีความสุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ

ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำ จึงมีความสำคัญ เพราะเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่นด้วย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ ถ้าประพฤติไม่เป็นธรรม คนทั้งหมดก็ทำตามอย่าง ประเทศชาติเดือดร้อน แต่ถ้าประพฤติเป็นธรรม คนทั้งหมดก็ประพฤติตามอย่างบ้าง ประเทศชาติก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เปรียบเสมือนกับฝูงโคที่กำลังข้ามฟาก ถ้าโคจ่าฝูงนำไปคดโคทั้งหมดก็เดินคดเคี้ยวตาม หากโคจ่าฝูงนำไปตรง โคทั้งหมดก็ไปตรง ฉะนั้น

จากคู่มือการจัดมาตรฐานทางคุณธรรม

และจริยธรรม ของศูนย์ส่งเสริมจริยธรรม

สำนักงาน ก.พ.และจากเว็ปไซด์

เรียบเรียงโดย พ.ท.อุดม สนสายันต์

หัวหน้าสมาชิก กฌป.สก.ทบ.

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำมันดิบ

น้ำมันดิบ (Crude oil) คืออะไร?

น้ำมันดิบคือสารประกอบของไฮโดรคาร์บอนกับสารเคมี อื่นๆ จำนวนเล็กน้อย เช่น สารประกอบซัลเฟอร์ ไนโตรเจน และออกซิเจน โดยการที่จะนำสารต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ได้ พวกมันจะต้องถูกแยกออกออกจากกันเสียก่อน กระบวนการแยกเรียกว่าการกลั่น (Refining) น้ำมันดิบที่แตกต่างกันในแต่ละที่ของโลก หรือแม้แต่ความลึกที่แตกต่างกันของน้ำมันหลุมเดียวกันเองก็ยังคงบรรจุสารประกอบไฮโดรคาร์บอนและสารประกอบอื่นๆ ที่แตกต่างกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงมีตั้งแต่สารระเหยง่ายสีอ่อนไปจนถึงน้ำมันดำขุ่นหนา (หนามากเสียจนมันยากที่จะปั้มมันขึ้นมาจากพื้นดินเสียด้วยซ้ำ)



ก๊าซธรรมชาติ (Natural gas) คืออะไร?


ก๊าซธรรมชาติคือสารประกอบของไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นเพียงโมเลกุลเล็กๆ โดยโมเลกุลเหล่านี้สร้างจากอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจน ตัวอย่างเช่นก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในบ้าน(ก๊าซหุงต้ม) โดยส่วนใหญ่คือมีเทน CH4



น้ำมันดิบ (Crude oil) และ ก๊าซธรรมชาติ (Natural gas) เกิดจากอะไร?


นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเมื่อสัตว์และพืชต่างๆ ตาย พวกมันจะถูกชะล้างโดยน้ำฝน และไหลจมลงสู่ก้นทะเลและทะเลสาบต่างๆ ซึ่งพวกมันจะถูกทับถมโดยชั้นของตะกอนต่างๆ (sediment-สิ่งที่ทับถมกันลงมา เช่น ซากพืช ซากสัตว์ หิน ดิน ทราย) [ดูรูป 1.1] และกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ซากเหล่านี้จะสามารถย่อยสลายไปในอากาศ Anaerobic bacteria (แบคทีเรียซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ใช้ออกซิเจน) จะเริ่มกระบวนการย่อยสลายสารพวกนี้ให้กลายเป็นน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ โดยคาดว่ามันจะมีกระบวนการทางเคมีที่เกี่ยวข้องกันระหว่างซากสิ่งมีชีวิต เกลือที่อยู่ในดินโคลนและน้ำที่อยู่รอบๆ ตัวพวกมันเพราะดูเหมือนว่ามันจะมีวิธีการแตกต่างกันในการเกิดเป็นน้ำมัน

รูป 1.1



ใน ขณะที่ซากของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ถูกย่อยสลาย พวกมันก็จะถูกทับถมโดยตะกอนต่างๆ มากขึ้น จากน้ำขึ้นและน้ำลงของทะเล และโคลน ทรายที่แม่น้ำพัดลงมา โดยกระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นล้านๆ ปีเลยทีเดียว แต่ในที่สุดสารต่างๆ ก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน[Hydrocarbon] ซึ่งใช้สร้างน้ำมันและก๊าซโดยมีส่วนผสมของทราย และดินเหนียวเข้ามาเจือปน [ดูรูป 1.2] และเมื่อชั้นของสารอินทรีย์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ค่าความดันและอุณหภูมิซึ่งเป็นปัจจัยของกระบวนการเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการเกิดขึ้นได้เร็ว

รูป 1.2


มีสิ่งหนึ่งที่เราควรจะรู้ นั่นคือสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่ได้สร้างทะเลน้ำมันไว้ใต้ดินอย่างที่ทุกๆ คนเข้าใจ พวกมันจะถูกผสมเข้ากับน้ำและทรายซึ่งซึมผ่านเข้ามาทางชั้นรูพรุนของหินทราย(Sandstone-หิน ที่มีส่วนผสมของทรายหรือแร่ควอทซกับดินเหนียว แคลเซียมคาร์บอร์เนต และ ไอออนออกไซด์) หรือ หินปูน (limestone- หินที่ประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอร์เนต (CaCO3)) พร้อมกับฟองอากาศของก๊าซ [ดูรูปที่ 1.3] โดยปกติความดันจะช่วยบังคับให้เกิดการผสมกันระหว่างหินพวกนี้ โดยน้ำมันและก๊าซจะถูกกักอยู่ระหว่างช่องว่างของหินตะกอน (sedimenatary rock-หินที่เกิดจากการทับถมกันของตะกอนต่างๆ ในทะเลโบราณ) เหมือนกับน้ำในฟองน้ำ และในที่สุดน้ำมันและก๊าซก็จะพบกับชั้นของหินซึ่งไม่สามารถผ่านไปได้ (หินที่ไม่มีรูพรุน) และพวกมันก็จะถูกกัก(trap) อยู่ในนั้น [ดูรูป 1.4]

รูป 1.3 รูป 1.4


การกลั่นน้ำมัน

Fractional distillation (การกลั่นลำดับส่วน)
รูป 1.5 Fractional distillation


น้ำมันดิบคือสารประกอบอันซับซ้อนของไฮโดรคาร์บอนซึ่งสารประกอบต่างๆ จะขึ้นอยู่กับที่มาของแหล่งนั้นๆ สารไฮโดรคาร์บอนในน้ำมันดิบจะมีจุดเดือดที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับจำนวนคาร์บอนและการจัดตัวในโมเลกุล การกลั่นลำดับส่วนใช้จุดเดือดที่แตกต่างกันในการแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในน้ำมันดิบ โดยที่คอลัมน์ด้านบนจะเย็นกว่าทางด้านล่าง ดังนั้นไอต่างๆ จึงเย็นตัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันขึ้นสู่ด้านบนโดยไอเหล่านี้จะกลั่นตัวบนถาดเมื่อพวกมันมาถึงส่วนของคอลัมน์ที่เย็นกว่าจุดเดือดของมัน


เมื่อสารต่างๆ ออกมาจากคอลัมน์พวกมันยังต้องผ่านกระบวนการต่างๆ อีกมาก เช่น thermo cracking hydrotreating กว่าจะมาเป็นสิ่งของที่พวกเราใช้กันในวันนี้ได้ เพราะงั้นเราควรใช้สิ่งของต่างๆ อย่างรักษานะคะ ^-^

น้ำมันดิบ

น้ำมันดิบ (Oil)
          น้ำมันดิบ  คือ  ปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลวในธรรมชาติ  ส่วนมากมีสีดำหรือน้ำตาล  มีลักษณะเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ ปะปนกันอยู่  และในบางครั้งอาจมีสารอื่น ๆ ประกอบอยู่ด้วย  เช่น  กำมะถัน (S), ไนโตรเจน (N),  ออกซิเจน (O)  เป็นต้น  ด้วยเหตุนี้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาจะยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที  ต้องมีการนำมาแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ก่อน  จึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ตามชนิดของสารได้  โดยการวิธีการแยกสารที่ปนอยู่ในน้ำมันดิบออกจากกันนี้  เรียกว่า  การกลั่นน้ำมันดิบ
          1.  การกลั่นน้ำมันดิบ
                    การกลั่นน้ำมันดิบ  เป็นวิธีการกลั่นลำดับส่วนที่อาศัยหลักการว่า  สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ ที่ผสมปนอยู่ในน้ำมันดิบ  จะมีจุดเดือดที่แตกต่างกันไปตามจำนวนคาร์บอนภายในโมเลกุล  (สารที่มีจำนวนคาร์บอนมากจะยิ่งมีจุดเดือดสูง)  ดังนั้นเมื่อส่งน้ำมันดิบเข้าไปสู่หอกลั่นที่มีอุณหภูมิสูง 400 องศาเซลเซียส  น้ำมันดิบจะเดือดแล้วระเหยกลายเป็นไอลอยขึ้นไปส่วนบนของหอกลั่นซึ่งมี อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของสาร  สารนั้นก็จะควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวเหมือนเดิมได้  ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแยกสารต่าง ๆ ที่ผสมกันอยู่ในน้ำมันดิบออกจากกันได้  โดยสารที่มีจุดเดือดสูง  (จำนวนคาร์บอนมาก)  จะมีการควบแน่นออกมาก่อน  ส่วนสารที่มีจุดเดือดต่ำ  (จำนวนคาร์บอนน้อย)  จะมีการควบแน่นออกมาทีหลังตามลำดับ
          2.  ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันดิบ
                    สารที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน  มีตั้งแต่สารที่ประกอบด้วยคาร์บอนเพียง 1 อะตอม  จนถึงสารที่มีคาร์บอนมากกว่า 50 อะตอม  ซึ่งจำนวนคาร์บอนที่แตกต่างกันก็จะทำให้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนมีสมบัติที่ แตกต่างกัน  จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
                    -  แก๊สปิโตรเลียม  (คาร์บอน 1-4  อะตอม)  ใช้สำหรับทำสารเคมี  วัสดุสังเคราะห์  และแก๊สหุงต้ม
                    -  แนฟทา  (คาร์บอน 5-6  อะตอม)  ใช้ในการทำสารเคมี
                    -  แก๊สโซลีน  หรือน้ำมันเบนซิน  (คาร์บอน  6-10  อะตอม)  ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์
                    -  น้ำมันก๊าด  (คาร์บอน 10-14  อะตอม)  ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น  และตะเกียง
                    -  น้ำมันดีเซล  (คาร์บอน 14-19  อะตอม)  ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
                    -  น้ำมันหล่อลื่น,  ไข  (คาร์บอนมากกว่า  35  อะตอม)  ใช้ทำน้ำมันเครื่อง,  เทียนไข,  แว็ก
                    -  น้ำมันเชื้อเพลิง  (คาร์บอนมากกว่า  35  อะตอม)  ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องจักรและของเรือ
                    -  บิทูเมน  (คาร์บอนมากกว่า 35 อะตอม)  ใช้ทำวัสดุกันรั่วซึมและยางมะตอย

ปิโตรเลียม


 
Original
 
นัก โบราณคดีเชื่อว่าประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล พวกชนเผ่าบาบิโลเนียน (Babylonian) เริ่มใช้น้ำมัน (ปิโตรเลียม) เป็นเชื้อเพลิงแทนไม้และเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนเป็นชาติแรกที่ทำเหมืองถ่านหินและขุดเจาะบ่อก๊าซธรรมชาติลึกเป็นร้อย เมตรได้ก่อนใคร
น้ำมันประกอบด้วย สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ หลายชนิดมากมายจนมีคำพูดว่าไม่มีน้ำมันจากบ่อไหนเลยในโลกที่มีการผสมผสาน ส่วนประกอบได้คล้ายกัน แต่จะเห็นว่าส่วนประกอบกว้าง ๆ คล้ายกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับก๊าซธรรมชาติที่ประกอบด้วยก๊าซที่สำคัญคือ มีเทน (Methane) เป็นหลักที่เหลือซึ่งมีปริมาณน้อยกว่าได้แก่ อีเทน (Ethane) โปรเพน (Propane) และบิวเทน (Buthane) ปิโตรเลียมจัดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติที่ได้จากการสลายตัวของสิ่งมี ชีวิตทั้งพืชและสัตว์รวมกัน
ปฏิกิริยาเคมี เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในน้ำมันดิบที่เคลื่อนตัวเข้ามาก่อนถึงโครงสร้างกักเก็บเป็นเวลายาวนานหลาย ล้านปีซึ่งอาจะเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมน้ำมันจากบ่อต่าง ๆ จึงไม่เหมือนกัน
ตะกอนที่ปน อินทรีย์วัตถุหรือที่จะให้น้ำมันสะสมตัวอยู่ในปัจจุบันนี้คือ ตะกอนที่มีแร่ดินเหนียวอยู่ด้วยมากขณะที่กักเก็บน้ำมันจริง ๆ คือ หินทรายซึงประกอบด้วยแร่เขี้ยวหนุมานเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ก็เป็นหินปูนที่มี แร่แคลไซต์มากหรือพวกหินที่มีรอยแตกมากมาย จึงดูเหมือนว่าน้ำมันเกิดอยู่ที่หนึ่งและต่อมาจึงเปลี่ยนเคลื่อนย้ายไปสะสม ตัวอยู่อีกที่ซึ่งความจริงการเคลื่อนย้ายตัวของน้ำมันก็มีหลักการคล้าย ๆ กับการเคลื่อนย้ายของน้ำใต้ดินหินทรายที่มีความสามารถยอมให้ของเหลวไหลผ่าน สูงกว่าหินดินดานมากขึงยอมให้น้ำมันผ่านเข้ามาได้และที่สำคัญคือ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างน้ำมันกับแร่เขี้ยวหนุมานหรือแร่แคลไซต์มีน้อย���ว่า น้ำกับแร่ดังกล่าว น้ำมันจึงผ่านไปได้แต่น้ำยังคงยึดเกาะอยู่ น้ำยึดเกาะข้างเม็ดแร่อย่างมากส่วนน้ำมันอยู่ตรงกลางช่องว่างโดยไม่ยอมผสม กันและเบากว่าน้ำมาก ดังนั้นน้ำมันจึงลอยสูงขึ้นมาเจอแหล่งกักเก็บและสะสมตัวอยู่ได้เหนือน้ำใต้ ดินและโอกาสที่จะสะสมอยู่ได้ในตะกอนมีเพียง 0.1% ของน้ำมันที่เกิดมา จึงไม่แปลกใจเลยที่พบน้ำมันอยู่ได้มากกว่า 60% ของปริมาณน้ำมันทั้งหมดจากหินตะกอนยุคใหม่ไม่เกิน 2.5 ล้านปีเป็นส่วนใหญ่คือมหายุคนวชีวิน (Cenozoic) ประเทศไทยเราก็เช่นกัน น้ำมันทั้งหมดเกิดอยู่ในหินยุคใหม่ ๆ ทั้งนั้น จากการขุดเจาะน้ำมันพบว่ายิ่งเจาะลึกมากเท่าใด โอกาสที่จะพบน้ำมันก็น้อยลงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะหินยิ่งลึกมากความพรุนยิ่งน้อยลง อัดตัวกันมากขึ้นและเกิดแรงดันใหม่น้ำมันเคลื่อนไปข้างบนได้มาก
ปริมาณคิดเป็นร้อยละของน้ำมันทั่วโลกที่พบในที่หินกักเก็บที่สำคัญ ซึ่งหินทรายเป็นหินกักเก็บได้ดีกว่าหินปูน
แหล่งกำเนิดปิโตรเลียม
น้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติมีสถานะเป็นของเหลวและก๊าซและเบากว่าน้ำ น้ำมันผลิตได้จากบ่อน้ำมัน (oil pools) ซึ่งหมายถึงแหล่งสะสมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใต้ดินในแหล่งกักเก็บที่มีตัวปิด กั้นทางธรณีวิทยา บ่อน้ำมันจึงอาจเป็นคำพูดที่ใช้ผิดๆ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นทะเลสาบที่มีน้ำมันแต่หมายถึง ส่วนของหินที่มีน้ำมันบรรจุอยู่เต็มช่องว่างในหินนั้น ดังนั้นบ่อน้ำมันหลายๆ บ่อที่มีลักษณะ-โครงสร้างของการกักเก็บคล้ายๆ กันหรือบ่อเดียวโดยแยกจากบ่ออื่นที่ไหลออกไปอาจเรียกรวมๆ กันว่า แหล่งน้ำมัน (oil field) แหล่งน้ำมันจึงอาจประกอบด้วยบ่อที่อยู่เรียงๆ กันไปอยู่ข้างๆ กันหรืออยู่บนล่างตามแนวดิ่งก็ได้
ปัจจุบันปัจจัยควบคุมการสะสมน้ำมันมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการด้วยกัน คือ
ต้องมีหินที่ทำ หน้าที่ให้น้ำมันมายึดเกาะอยู่ได้เรียกว่า หินอุ้มน้ำมันหรือหินกักเก็บ (reservoir rock) ซึ่งมีคุณสมบัติเดิมคือ ต้องมีรูพรุนมากพอที่จะให้น้ำมันไหลผ่านได้ หินกักเก็บจะต้องถูกปิดทับด้วยชั้นหินที่ไม่ยอมให้น้ำมันไหลซึมออกไปซึ่ง เรียกว่า หินปิดกั้น (roof rock) เช่นหินดินดาน ทำให้น้ำมันลอยตัวอยู่เหนือน้ำบาดาลโดยไม่หนีหายไป ทั้งหินกักเก็บและหินปิดกั้นจะประกอบขึ้นมาเป็นโครงสร้างหรือรูปแบบการกัก เก็บน้ำมัน (trap หรือ trap rock) ในแบบต่างๆ กัน ในการกักเก็บที่ดีขนาดไหนก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีน้ำมันได้ถ้าไม่มีหินที่ เป็นต้นกำเนิดน้ำมันที่เรียกว่า หินกำเนิด (source rock) ถ้าจะมีการเกิดการเสียรูปโครงสร้าง (structural deformation) เมื่อสร้างรูปแบบการกักเก็บก็ต้องเกิดขึ้นก่อนที่น้ำมันจะหลบหนีออกจากหิน กักเก็บจนหมด
 

ถ่านหิน


ความรู้เกี่ยวกับถ่านหิน


ถ่านหิน คือ หินตะกอนชนิดหนึ่งและเป็นแร่เชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้ มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีดำ มีทั้งชนิดผิวมันและผิวด้าน น้ำหนักเบา ถ่านหินประกอบด้วยธาตุที่สำคัญ ๔ อย่างได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และออกซิเจน นอกจากนั้น มีธาตุหรือสารอื่น เช่น กำมะถัน เจือปนเล็กน้อย ถ่านหินที่มีจำนวนคาร์บอนสูงและมีธาตุอื่น ๆ ต่ำ เมื่อนำมาเผาจะให้ความร้อนมาก ถือว่าเป็นถ่านหินคุณภาพดี
1. ประเภทของถ่านหิน
ถ่านหินสามารถแยกประเภทตามลำดับชั้นได้เป็น ๕ ประเภท คือ
  1. พีต (Peat) เป็นขั้นแรกในกระบวนการเกิดถ่านหิน ประกอบด้วยซากพืชซึ่งบางส่วนได้สลายตัวไปแล้วสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
  2. ลิกไนต์ (Lignite) มีซากพืชหลงเหลืออยู่เล็กน้อย มีความชื้นมาก เป็นถ่านหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง
  3. ซับบิทูมินัส (Subbituminous) มีสีดำ เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า
  4. บิทูมินัส (Bituminous) เป็นถ่านหินเนื้อแน่น แข็ง ประกอบด้วยชั้นถ่านหินสีดำมันวาว ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ
  5. แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินที่มีลักษณะดำเป็นเงา มันวาวมาก มีรอยแตกเว้าแบบก้นหอย ติดไฟยาก
2. การใช้ประโยชน์ถ่านหิน
ถ่านหินถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีแหล่งสำรองกระจายอยู่ทั่วโลกและปริมาณค่อนข้างมาก การขุดถ่านหินขึ้นมาใช้ประโยชน์ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ถ่านหินราคาถูกกว่าน้ำมัน ถ่านหินส่วนใหญ่จึงถูกนำมาเป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ใช้หม้อน้ำร้อนในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตไฟฟ้า การถลุงโลหะ การผลิตปูนซีเมนต์ การบ่มใบยาสูบ และการผลิตอาหาร เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น การทำถ่านสังเคราะห์ (Activated Carbon) เพื่อดูดซับกลิ่น การทำคาร์บอนด์ไฟเบอร์ (Carbon Fiber) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบา และการแปรสภาพถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเหลว (Coal liquefaction) หรือ เป็นแปรสภาพก๊าซ (Coal Gasification) ซึ่งเป็นการใช้ถ่านหินแบบเชื้อเพลิงสะอาดเพื่อช่วยลดมลภาวะจากการใช้ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง ภายใต้กระบวนการแปรสภาพถ่านหิน จะสามารถแยกเอาก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเป็นพิษ และสารพลอยได้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในถ่านหินนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น กำมะถันใช้ทำกรดกำมะถันและแร่ยิปซัม แอมโมเนียใช้ทำปุ๋ยเพื่อเกษตรกรรม เถ้าถ่านหินใช้ทำวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
3. แหล่งถ่านหินในประเทศไทย
ประเทศไทยมีแหล่งถ่านหินกระจายอยู่ทั่วทุกภาค มีปริมาณสำรองทั้งสิ้น ประมาณ 2,197 ล้านตัน แหล่งสำคัญอยู่ในภาคเหนือประมาณ 1,803 ล้านตัน หรือร้อยละ 82 ของปริมาณสำรองทั่วประเทศ ส่วนอีก 394 ล้านตัน หรือ ร้อยละ 18 อยู่ภาคใต้ ถ่านหินส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำอยู่ในขั้นลิกไนต์และซับบิทูมินัส มีค่าความร้อนระหว่าง 2,800 - 5,200 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม หรือ ถ่านลิกไนต์ 2 - 3.7 ตัน ให้ค่าความร้อนเท่ากับน้ำมันเตา 1 ตัน ลิกไนต์เป็นถ่านหินที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ที่แม่เมาะ จ.ลำปาง และ จ.กระบี่ จัดว่าเป็นลิกไนต์ที่คุณภาพแย่ที่สุด พบว่าส่วนใหญ่ มีเถ้าปนอยู่มากแต่มีกำมะถันเพียงเล็กน้อย คาร์บอนคงที่อยู่ระหว่างร้อยละ 41 - 74 ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่างร้อยละ 7 - 30 และเถ้าอยู่ระหว่างร้อยละ 2 - 45 โดยน้ำหนัก ในช่วงที่ราคาน้ำมันยังไม่แพงประเทศไทยไม่นิยมใช้ลิกไนต์มากนักแต่ภายหลัง ที่เกิดวิกฤติน้ำมัน จึงได้มีการนำลิกไนต์มาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นทั้งในด้านการ ผลิตกระแสไฟฟ้าและอุตสาหกรรม แหล่งถ่านหินที่มีการสำรวจพบบางแหล่งได้ทำเหมืองผลิตถ่านหินขึ้นมาใช้ ประโยชน์แล้ว แต่บางแหล่งยังรอการพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อไป



วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เเอลคีน

แอลคีน (Alkene)
                    แอลคีน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โอเลฟิน (Olefin) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัวโดยที่ในโมเลกุลมีพันธะระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนเป็นพันธะคู่อย่างน้อย 1 คู่ มีสูตรโมเลกุลทั่วไปเป็น CnH2n สารแอลคีนตัวแรกที่มีคาร์บอนอยู่ในโมเลกุลเล็กที่สุด  จะมีคาร์บอนอย่างน้อย2 อะตอม ซึ่งเอทิลีน (C2H4) เป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่ใช้มากในอุตสาหกรรมเพื่อสังเคราะห์สารพอลิเมอร์ และเคยใช้เป็นยาสลบในทางการแพทย์อีกด้วย เอทิลีนมีสูตรโครงสร้าง ดังนี้
การเรียกชื่อสารประกอบแอลคีน จะเป็นไปตามระบบ IUPAC ที่ควรทราบ คือ
1. คำลงท้ายของสารแอลคีน คือ อีน (-ene)
C2H4       =             Ethene,                  C3H6       =             Propene,
C4H8       =             Butene,                  C5H10      =             Pentene,
C6H12      =             Hexene,                 C7H14      =             Heptene,
C8H16      =             Octene,                  C9H18      =             Nontene,
C10H22    =             Decene         
 
2. ใช้โซ่ต่อเนื่องที่ยาวที่สุด ซึ่งมีพันธะคู่รวมอยู่ด้วยเป็นโซ่หลัก
3. <![endif]>ต้องระบุตำแหน่งของพันธะคู่โดยให้คาร์บอนตัวแรกของพันธะคู่มีเลขต่ำสุด เช่น
4      3      2      1
CH3-CH3-CH=CH2                             1-Butene
 
4      3      2      1
CH3-CH3=CH-CH3                             2-Butene
4.  ถ้ามีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ ต้องระบุตำแหน่งพันธะคู่ให้ชัดเจนแล้วใช้ di
(หมายถึง 2) tri (หมายถึง 3 ) แทนจำนวนพันธะคู่ โดย di, tri จะอยู่หน้าคำว่า “ene” แต่อยู่หลัง
คำระบุจำนวนคาร์บอน คือ but, pent, hex….
4      3      2      1
CH2=CH-CH=CH2                                       1,3-Butadiene (มีพันธะคู่ 2 ตำแหน่ง)
 
7      6      5      4       3       2      1
CH3-CH=CH- CH= CH= CH –CH2        1,3,5-Heptatriene (มีพันธะคู่ 3 ตำแหน่ง)
คุณสมบัติทางกายภาพและประโยชน์ของสารแอลคีน
แอลคีนมีคุณสมบัติค่อนข้างคล้ายกับสารแอลเคน กล่าวคือ
1.       แอลคีนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนตั้งแต่ 2-4 อะตอม จะมีสถานะเป็นแก๊สจำนวนอะตอมของคาร์บอนตั้งแต่ 5-17 อะตอมจะเป็นของเหลว และถ้ามีจำนวนอะตอมของคาร์บอนตั้งแต่ 18 ขึ้นไป จะเป็นของแข็ง
2.       แอลคีนเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัว จึงเป็นสารที่ไวต่อปฏิกิริยากว่าแอลแคน
3.       ภายในโมเลกุลของแอลคีนมีพันธะคู่ตั้งแต่ 1 พันธะ ที่ปะปนอยู่กับพันธะเดี่ยว
4.       แอลคีนไม่ละลายน้ำ จัดเป็นสารประกอบโคเวเลนต์แบบไม่มีขั้ว จะละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์
5.       ติดไฟง่าย แต่อาจมีเขม่า
6.       มีกลิ่นเฉพาะตัว
7.       มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
8.       มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ แต่จุดเดือดจะสูงขึ้นเมื่อจำนวนคาร์บอนในโมเลกุลเพิ่ม
              คุณสมบัติทางเคมีของสารแอลคีน
1.       ปฏิกิริยาการรวมตัว (Addition) สารแอลคีนมีพันธะคู่ ภายในโมเลกุลจึงทำใหมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยา และสารที่เข้าทำปฏิกิริยาจะรวมกับแอลคีนที่ตรงตำแหน่งของพันธะคู่ตัวอย่างเช่น แอลคีนทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถัน
 
2.      <![endif]>ปฏิกิริยาการเผาไหม้กับออกซิเจนในอากาศ (Oxidation Reaction) ได้แก๊สคาร์บอน-ไดออกไซด์กับน้ำ และให้ความร้อนออกมา ดังสมการ
 
3.       <![endif]>แอลคีนทำปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีน (Br2) ในคาร์บอนเดตระคลอไรด์ (CCl4) ได้ ทั้งในที่มืดและที่มีแสงสว่าง จะได้ผลผลิต ดังสมการ
 
                แอลคีน (หรือแอลไคน์) ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัวจะนิยมทดสอบด้วย Br2 ใน CCl4 ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าสีของ Br2 ถูกฟอกจางในที่มืดได้แสดงว่าสารประกอบที่เรานำมาทดสอบนั้นมีพันธะคู่หรือพันธะสามอยู่
4.      แอลคีนทำปฏิกิริยากับด่างทับทิม (KMnO4) ในสารละลายกรด นิยมเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation reaction) หลังจากทำปฏิกิริยาแล้ว KMnO4 จะถูกฟอกจางสีจึงอาจเรียกปฏิกิริยานี้อีกชื่อหนึ่งว่า ปฏิกิริยาฟอกจางสี
 
5.       ปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซซัน เป็นปฏิกิริยารวมตัวชนิดหนึ่ง เกิดจากโมเลกุลเล็ก ๆ ของแอลคีน (หรือแอลไคน์) หรือเรียกอีกชื่อว่า มอนอเมอร์ (Monomer) มารวมกันเป็นโมเลกุลที่ยาวมีมวลโมเลกุลสูงขึ้นจนเรียกว่า พอลิเมอร์ (Polymer